วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พ่อผมเป็นชาวนาและมีฝีมือทางช่าง แกจะรับจ้างสร้างบ้าน ทำงานไม้ วงกบประตูหน้าต่าง หรืองานไม้อื่นๆที่เป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ทราบว่าไปร่ำเรียนมาจากไหน แกบอกขอให้เคยเห็น ก็ทำได้ เลยประกอบอาชีพนี้เวลานอกฤดูกาลทำนา ทำจนชำนาญและมีชื่อเสียงพอสมควรในแถบหมู่บ้านและตำบล จนเกือบจะพูดได้ว่าบ้านชาวบ้านแถวนั้นเกินครึ่งเป็นฝีมือของพ่อ และเพื่อนๆช่างของพ่อที่รวมทีมกันทำเป็นอาชีพเสริม พ่อเป็นคนเรียนหนังสือน้อย ค่อนข้างจะเรียกว่าหัวทึบ แกบอกผมว่า แกไม่ชอบเรียน หันเข้าหาหนังสือมันพานจะหลับ พ่อเรียนจบ ป. 4 มาแบบที่เรียกว่า เอาเสารั้วแลกออก คือเรียนจนครบเกณท์อายุ 15 ปี จนเรียนต่อไปไม่ได้ครูก็ให้จบเอง "พวกแกโชคดี ที่ได้ทางแม่ ถ้าได้พ่อสงสัยคงจะปึกแป้นปีกเหมือนพ่อ" แกพูดพร้อมกับหัวเราะและพ่นควันยาเส้น มือก็เหลาตอกไว้สานอะไรของแกตามประสามือที่ไม่เคยว่าง

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วัยเด็กกับความทรงจำ

ภาพความทรงจำในวัยเด็กที่แจ่มชัด หลับตาลงครั้งใดก็ยังมองเห็นก็คือภาพในคืนฝนตก และนอนฟังเสียงฝน เสียงกบร้อง ห่อผ้าห่มคลุมโปงฟังความเกรี้ยวกราดของฟ้าและฝนเดือนหกของทุ่งนาอีสานที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลก ชีวิตนี้คงไม่ได้พบบรรยากาศนั้นอีก ความทรงจำที่ลืมตามาพบคือชีวิตชาวนาอีสานจนๆที่อุดมไปด้วยความลำบากและความขาดแคลน ดิ้นรนปากกัดตีนถีบ มือตะกายปานนั้นยังไม่สามารถหลุดพ้นความลำบากขาดแคลนปัจจัยในการดำรงชีวิต ถึงลำบากแต่ก็สุข ถึงจนก็ไม่เคยทุกข์ ทำไมถึงบอกเช่นนั้น มาพบความจริงเอาเมื่อตอนโตและเผชิญปัญหาในชีวิตรู้จักความทุกข์ ความวิตกกังวล จึงได้รู้ว่าเมื่อตอนเด็กนั้นเป็นแค่ความเหนื่อยยากลำบาก ไม่ใช่ความทุกข์ เป็นแค่ความเหนื่อย ความอดความหิว ซึ่งสามารถสร้างภูมิคุ้มกันชีวิตที่ไม่มีวัคซีนชนิดไหนในโลกจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เหมือน และเป็นแรงขับอยู่ภายในที่ไม่มีพลังงานใดจะเสมอได้ แรงขับที่คอยกระตุ้นเตือนให้หาทางที่จะยกความเป็นอยู่ในชีวิตให้หลุดพ้นความขาดแคลน ในวัยเด็กผมชอบชีวิตในหน้าฝนที่สุดเพราะทุกอย่างมันอุดมสมบูรณ์อาหารการกินไม่ขาดแคลน ไม่เหมือนหน้าอื่นๆที่จะหากินลำบาก หน้าฝนไม่ว่าจะส่องกบ หาปลา หาหน่อไม้ เห็ดสารพัดอาหารที่จะหาได้ และผมเป็นนักหากินตัวยง เป็นพรานนักล่ากบ ล่าปลา หาหอย คนเฒ่าคนแก่บอกหากินหมาน(โชคดีในการหาอาหาร)แต่ในความเป็นจริงแล้วคนที่หากินหมานนั้นเป็นคนที่รู้จักสังเกตุธรรมชาติ และมีความเพียรในการหามากกว่าคนอื่นจึงสามารถหาได้มากกว่า โชคเป็นเพียงปัจจัยเสริมเท่านั้น ภาพหนึ่งที่ไม่เคยลืมไปจากความทรงจำไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดภาวะใดก็คือภาพของพ่อที่ไม่เคยอยู่นิ่ง ทำงานสารพัด หากินตัวเป็นเกลียวและรุ่มรวยอารมณ์ขัน หัวเราะและหาเรื่องหัวเราะได้ทุกเมื่อ และฝีมือเชิงช่างของพ่อที่สามารถทำเครื่องมือสำหรับทำมาหากินไม่ว่าจะเป็น แห อวน ไซ ตุ้มกุ้ง ตุ้มกบและอีกสารพัดเครื่องมือซึ่งลูกๆไม่สามารถสืบทอดได้ซักอย่างนั่นคือภาพแห่งความทรงจำที่ผ่านมานับสี่สิบปี บรรยายมาเท่าที่จำและนึกได้ถ้ารำลึกอะไรได้อีกจะมาบันทึกเพิ่มภายหลัง


วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปฐมบทแห่งชีวิต





เที่ยงวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๑๑ ตรงกับวันศุกร์ที่ร้อนแล้ง แม่บอกว่าเป็นปีที่แล้งมากเมื่อเทียบกับหลายปีก่อน กลางทุ่งนาที่แดดเต้นระยิบของบ้านโคกยาว ต.ทรายมูล อ.ทรายมูล จ,ยโสธร แม่ได้ให้กำเนิดลูกชายคนที่ ๔ ของครอบครัวท่ามกลางความร้อนแล้งของแผ่นดินอีสาน ปีที่ผมเกิดด้วยความแห้งแล้งยังไม่มีน้ำที่จะทำนา จึงมีแม่คลอดโดยมีหมอตำแยและยายช่วยกันทำคลอด ส่วนพ่อไม่อยู่เพราะต้องไปเป็นนายฮ้อยจำเป็น อยู่ที่เมืองอุบล ด้วยต้องไปซื้อม้าเพื่อต้อนไปส่งขายที่เมืองโคราชกับเพื่อนนายฮ้อยบ้านเดียวกัน เพราะปีนี้แล้งจนไม่ได้ทำนา เลยต้องไปหารายได้ทางอื่น แต่ด้วยความที่ไม่ใช่แม่ใหม่เพราะแม่มีลูกมาสามคนแล้ว การคลอดกันเพียงไม่กี่คนจึงไม่ใช่เรื่องใหป็นไปโด ยปกติ ลูกแม่ออกมาอ้วนท้วนสมบูรณ์ "ขาวปานเจ๊กลูกมึงคนนี้" คำนิยามหน้าตาของชีวิตเด็กแรกเกิดของยาย ที่แม่เคยเล่าให้ฟัง "คนเกิดกลางวันตอนเที่ยง ปีวอก มันลิงออกหากินเด้อหมอนี่ มันเกิดอยู่นี่แต่มันสิไปหากินหม่องอื่น ใหญ่มาสิบ่ได้อยู่บ้านเด๊นี่"พ่อใหญ่สาย หมอมอ(หมอดู)ประจำหมู่บ้านเคยทำนายผูกดวงไว้ให้ แม่ ซึ่งตัวผมเองก็ไม่เคยคิดเคยฝันและสนใจคำทำนายและบอกเล่าจากแม่เท่าไหร่นัก จนมาประจักษ์เอาเองภายหลัง

ลำนำชีวิต


เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๔ ได้มีโอกาสไดัพบเพื่อนรักสมัยเรียนมัธยม คือ พันธุ์ทอง จันทร์สว่าง ได้นั่งคุยถึงชิวิตและความเป็นไป จนกว่าจะถึงวันนี้ เพื่อนก่ำได้เสนอแนะและชี้ชวนให้บันทึกเรื่องราวชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลาน จนมาสร้างธุรกิจตั้งเนื้อตั้งตัวอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ผ่านพบอะไรมาบ้าง เพื่อให้เป็นบทเรียนหนึ่งของชิวิตสามัญชนคนหนึ่งที่มี รัก โลภ โกรธ หลง ดีใจ เสียใจ และมีวิถีความเป็นไปที่อาจจะไม่มีใครเหมือน และอาจจะเป็นตำราชีวิตอีกเล่มหนึ่งที่ผู้ผ่านมาพบอาจจะนำไปศึกษา เป็นประสบการณ์หนึ่งในชีวิต ซึ่งตำรานี้ผู้เขียนเขียนด้วยชีวิตของต้วเอง เรียกว่าไม่มีสแตนอิน ไม่มีสลิง เจ็บจริง ร้องไห้และหัวเราะจริง เหมือนโฆษณาในหนัง
อันที่จริงแล้วตัวผมเอง ก็มีความคิดนี้อยู่ก่อนแล้วในการที่จะบันทึกหนังชีวิตเรื่องยาวของตัวเองไว้ให้ลูกหลานได้อ่าน แต่ด้วยเหตุผลเรื่องเวลาและธุรกิจที่รัดตัวจึงไม่ได้ลงมือเสียที จนถึงวันนี้ได้รับการร้องขอ แกมบังคับเพราะเพื่อนมันย้ำแล้วย้ำอีก ประกอบกับชีวิตและเวลามีความลงตัวมากขึ้นกว่าที่เคยมีมา จึงจะขอเริ่มบันทึก "ลำนำชีวิต"ฉบับยาวนี้ไว้ให้ลูกๆหลานๆได้ศึกษาต่อไป เผื่อมีสิ่งดีบ้างจะได้ดูเป็นเยี่ยง แต่ไม่จำเป็นต้องเอาอย่าง เพราะปัจจัยและวิถีทางของชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552



    เอาภาพมาให้เห็นว่าเราทำอะไรอยู่ที่ไหน

15 ปีของการต่อสู้


ขอบันทึกเรื่องราวการต่อสู้ชีวิตบนความยากลำบาก ผจญปัญหาและอุปสรรคมากมายที่ถาโถมเข้ามาจนกว่าจะมีวันนี้ กว่าจะเป็นบริษัทเล็กๆที่ก้าวเดินและยืนอยู่บนขาของตัวเองสร้างมาด้วยมันสมองและสองมือ และกำลังใที่ไม่มีวันหมดท้อแต่ไม่ยอมถอย เหนื่อยแต่ไม่ยอมหยุด ถามตัวเองว่าพอใจหรือยังกับทุกสิ่งอย่างที่กำลังเป็นอยู่ ตอบตัวเองยังไม่ได้เหมือนกันเพราะไม่ได้นึกฝันอะไรไว้มากมายขนาดนี้ 20 ปีของการทำงานล้มลุกคลุกคลานบางครั้งต้องทำงานทั้งน้ำตามาวันนี้พอมีเวลาที่จะมองไปข้างหลังมีอะไรมากมายที่ผ่านเข้ามาในทางเดินของชีวิตกว่าจะเป็นวันนี้ จะขอบันทึก้ตรงนี้เพื่อเป็นประโยชน์สักนิดก็ยังดี ก่อนจะไปกล่าวถึงเรื่องอื่นขอแนะนำว่า เค.เจ.เคมีคอล คืออะไร ทำอะไรอยู่ที่ไหนเราเป็นบริษัทเล็กๆ ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอยูู่ในเขตภาคเหนือตอนบน จำหน่ายแบบขายส่งให้กับหน่วยงานราชการ ,โรงงานอุตสาหกรรม,โรงแรม,โรงพยาบาลและบริษัทรับเหมาทำความสะอาดซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเรา ส่วนธุรกิจรองอีกแผนกของบริษัทคือบริการทำความสะอาดอาคาร บริการทำงานที่สูงโดยพนักงานที่ผ่านการอบรมหลักสูตรมาตรฐานการทำงานที่สูงของ IRATA(Industrial Rope Access Trade Association) ซึ่งแผนกหลังนี้จะทำงานที่สูงค่อนข้างจะครอบคลุมงานเกือบทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดภายนอกตึกสูง,ซ่อมรอยร้าว,ทำกันซึม,เช็ดกระจกตึกสูง,ทำความสะอาดหยากไย่โครงหลังคาโรงงานหรือโกดังสินค้าโดยวีธีโรยตัวทั้งหมดคือที่ทำอยู่ทุกวันนี้แต่กว่าจะมีวันนี้คำว่าเหนื่อยยากคืออะไรไม่อาจจะนิยามมาเป็นตัวหนังสือได้แต่จะค่อยทยอยเขียนลงในนี้เป็นบันทึกชีวิตอีกเล่มหนึ่ง