วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วัยเด็กกับความทรงจำ

ภาพความทรงจำในวัยเด็กที่แจ่มชัด หลับตาลงครั้งใดก็ยังมองเห็นก็คือภาพในคืนฝนตก และนอนฟังเสียงฝน เสียงกบร้อง ห่อผ้าห่มคลุมโปงฟังความเกรี้ยวกราดของฟ้าและฝนเดือนหกของทุ่งนาอีสานที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลก ชีวิตนี้คงไม่ได้พบบรรยากาศนั้นอีก ความทรงจำที่ลืมตามาพบคือชีวิตชาวนาอีสานจนๆที่อุดมไปด้วยความลำบากและความขาดแคลน ดิ้นรนปากกัดตีนถีบ มือตะกายปานนั้นยังไม่สามารถหลุดพ้นความลำบากขาดแคลนปัจจัยในการดำรงชีวิต ถึงลำบากแต่ก็สุข ถึงจนก็ไม่เคยทุกข์ ทำไมถึงบอกเช่นนั้น มาพบความจริงเอาเมื่อตอนโตและเผชิญปัญหาในชีวิตรู้จักความทุกข์ ความวิตกกังวล จึงได้รู้ว่าเมื่อตอนเด็กนั้นเป็นแค่ความเหนื่อยยากลำบาก ไม่ใช่ความทุกข์ เป็นแค่ความเหนื่อย ความอดความหิว ซึ่งสามารถสร้างภูมิคุ้มกันชีวิตที่ไม่มีวัคซีนชนิดไหนในโลกจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เหมือน และเป็นแรงขับอยู่ภายในที่ไม่มีพลังงานใดจะเสมอได้ แรงขับที่คอยกระตุ้นเตือนให้หาทางที่จะยกความเป็นอยู่ในชีวิตให้หลุดพ้นความขาดแคลน ในวัยเด็กผมชอบชีวิตในหน้าฝนที่สุดเพราะทุกอย่างมันอุดมสมบูรณ์อาหารการกินไม่ขาดแคลน ไม่เหมือนหน้าอื่นๆที่จะหากินลำบาก หน้าฝนไม่ว่าจะส่องกบ หาปลา หาหน่อไม้ เห็ดสารพัดอาหารที่จะหาได้ และผมเป็นนักหากินตัวยง เป็นพรานนักล่ากบ ล่าปลา หาหอย คนเฒ่าคนแก่บอกหากินหมาน(โชคดีในการหาอาหาร)แต่ในความเป็นจริงแล้วคนที่หากินหมานนั้นเป็นคนที่รู้จักสังเกตุธรรมชาติ และมีความเพียรในการหามากกว่าคนอื่นจึงสามารถหาได้มากกว่า โชคเป็นเพียงปัจจัยเสริมเท่านั้น ภาพหนึ่งที่ไม่เคยลืมไปจากความทรงจำไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดภาวะใดก็คือภาพของพ่อที่ไม่เคยอยู่นิ่ง ทำงานสารพัด หากินตัวเป็นเกลียวและรุ่มรวยอารมณ์ขัน หัวเราะและหาเรื่องหัวเราะได้ทุกเมื่อ และฝีมือเชิงช่างของพ่อที่สามารถทำเครื่องมือสำหรับทำมาหากินไม่ว่าจะเป็น แห อวน ไซ ตุ้มกุ้ง ตุ้มกบและอีกสารพัดเครื่องมือซึ่งลูกๆไม่สามารถสืบทอดได้ซักอย่างนั่นคือภาพแห่งความทรงจำที่ผ่านมานับสี่สิบปี บรรยายมาเท่าที่จำและนึกได้ถ้ารำลึกอะไรได้อีกจะมาบันทึกเพิ่มภายหลัง


วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปฐมบทแห่งชีวิต





เที่ยงวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๑๑ ตรงกับวันศุกร์ที่ร้อนแล้ง แม่บอกว่าเป็นปีที่แล้งมากเมื่อเทียบกับหลายปีก่อน กลางทุ่งนาที่แดดเต้นระยิบของบ้านโคกยาว ต.ทรายมูล อ.ทรายมูล จ,ยโสธร แม่ได้ให้กำเนิดลูกชายคนที่ ๔ ของครอบครัวท่ามกลางความร้อนแล้งของแผ่นดินอีสาน ปีที่ผมเกิดด้วยความแห้งแล้งยังไม่มีน้ำที่จะทำนา จึงมีแม่คลอดโดยมีหมอตำแยและยายช่วยกันทำคลอด ส่วนพ่อไม่อยู่เพราะต้องไปเป็นนายฮ้อยจำเป็น อยู่ที่เมืองอุบล ด้วยต้องไปซื้อม้าเพื่อต้อนไปส่งขายที่เมืองโคราชกับเพื่อนนายฮ้อยบ้านเดียวกัน เพราะปีนี้แล้งจนไม่ได้ทำนา เลยต้องไปหารายได้ทางอื่น แต่ด้วยความที่ไม่ใช่แม่ใหม่เพราะแม่มีลูกมาสามคนแล้ว การคลอดกันเพียงไม่กี่คนจึงไม่ใช่เรื่องใหป็นไปโด ยปกติ ลูกแม่ออกมาอ้วนท้วนสมบูรณ์ "ขาวปานเจ๊กลูกมึงคนนี้" คำนิยามหน้าตาของชีวิตเด็กแรกเกิดของยาย ที่แม่เคยเล่าให้ฟัง "คนเกิดกลางวันตอนเที่ยง ปีวอก มันลิงออกหากินเด้อหมอนี่ มันเกิดอยู่นี่แต่มันสิไปหากินหม่องอื่น ใหญ่มาสิบ่ได้อยู่บ้านเด๊นี่"พ่อใหญ่สาย หมอมอ(หมอดู)ประจำหมู่บ้านเคยทำนายผูกดวงไว้ให้ แม่ ซึ่งตัวผมเองก็ไม่เคยคิดเคยฝันและสนใจคำทำนายและบอกเล่าจากแม่เท่าไหร่นัก จนมาประจักษ์เอาเองภายหลัง

ลำนำชีวิต


เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๔ ได้มีโอกาสไดัพบเพื่อนรักสมัยเรียนมัธยม คือ พันธุ์ทอง จันทร์สว่าง ได้นั่งคุยถึงชิวิตและความเป็นไป จนกว่าจะถึงวันนี้ เพื่อนก่ำได้เสนอแนะและชี้ชวนให้บันทึกเรื่องราวชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลาน จนมาสร้างธุรกิจตั้งเนื้อตั้งตัวอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ผ่านพบอะไรมาบ้าง เพื่อให้เป็นบทเรียนหนึ่งของชิวิตสามัญชนคนหนึ่งที่มี รัก โลภ โกรธ หลง ดีใจ เสียใจ และมีวิถีความเป็นไปที่อาจจะไม่มีใครเหมือน และอาจจะเป็นตำราชีวิตอีกเล่มหนึ่งที่ผู้ผ่านมาพบอาจจะนำไปศึกษา เป็นประสบการณ์หนึ่งในชีวิต ซึ่งตำรานี้ผู้เขียนเขียนด้วยชีวิตของต้วเอง เรียกว่าไม่มีสแตนอิน ไม่มีสลิง เจ็บจริง ร้องไห้และหัวเราะจริง เหมือนโฆษณาในหนัง
อันที่จริงแล้วตัวผมเอง ก็มีความคิดนี้อยู่ก่อนแล้วในการที่จะบันทึกหนังชีวิตเรื่องยาวของตัวเองไว้ให้ลูกหลานได้อ่าน แต่ด้วยเหตุผลเรื่องเวลาและธุรกิจที่รัดตัวจึงไม่ได้ลงมือเสียที จนถึงวันนี้ได้รับการร้องขอ แกมบังคับเพราะเพื่อนมันย้ำแล้วย้ำอีก ประกอบกับชีวิตและเวลามีความลงตัวมากขึ้นกว่าที่เคยมีมา จึงจะขอเริ่มบันทึก "ลำนำชีวิต"ฉบับยาวนี้ไว้ให้ลูกๆหลานๆได้ศึกษาต่อไป เผื่อมีสิ่งดีบ้างจะได้ดูเป็นเยี่ยง แต่ไม่จำเป็นต้องเอาอย่าง เพราะปัจจัยและวิถีทางของชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน